ความเจ็บปวดขณะคลอดลูกนั้นมีระยะของมัน โดยในวันนี้เราจะมาดูว่าความเจ็บปวดนั้นมีระยะอะไรบ้าง และมีวิธีบรรเทาแบบไหนได้บ้างเราไปดูพร้อมๆกันเลยค่ะ
ระยะความเจ็บปวดขณะคลอด
สามารถแบ่งออกเป็น 2 ระยะ คือ
ความเจ็บปวดในระยะเตรียมคลอด
เป็นความเจ็บปวดที่เกิดจากการบีบตัวของมดลูก🤰 จึงทำให้มดลูกขาดเลือดมาหล่อเลี้ยง
ความเจ็บปวดในช่วงคลอดลูก
เป็นความเจ็บปวดที่เกิดจากการขยายตัวของเนื้อเยื่อเย็บ ซึ่งเป็นการเปิดทางให้ทารก👶สามารถคลอดตัวออกมาได้นั่นเองค่ะ
วิธีบรรเทาความเจ็บปวดขณะคลอด
บรรเทาความเจ็บปวดแบบไม่พึ่งยา
คุณแม่ที่คลอดธรรมชาติจะต้องทำจิตใจและร่างกายให้พร้อมรับความเจ็บปวดที่จะเกิดขึ้น โดยสามารถฝึกการหายใจเข้า😮💨และออกเพื่อลดความเจ็บปวด และศึกษาให้เข้าใจถึงกระบวนการคลอด อาจลองนวดผ่อนคลาย หรือ นึกถึงเรื่องดีๆ ที่ทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย💆♀️
บรรเทาความเจ็บปวดแบบพึ่งยา
สามารถใช้การฉีดยาแก้ปวด💉 และยาแก้อาเจียน ซึ่งจะมีผลข้างเคียงเช่น อาการคลื่นไส้ อาเจียน ง่วงซึม หายใจช้าลง
หรือสามารถใช้การดมยา โดยจะเริ่มให้ดมยาเมื่อมดลูกบีบตัวแล้ว วิธีการดมยานั้นจะไม่เหมาะกับเวลาที่ต้องยืดเวลาคลอด เพราะอาจส่งผลให้ทารกขาดออกซิเจนจากภาวะที่คุณแม่หายใจเร็วได้ค่ะ🙅♀️
การบล็อคหลัง
เป็นอีกวิธีที่สามารถทำได้ โดยการบล็อคหลังสามารถแบ่งออกได้ 3 วิธี ได้แก่
Spinal block
วิธีนี้คุณหมอจะทำการฉีดยาโดยเจาะผ่านกระดูกไขสันหลัง💉 ทำให้รู้สึกชาและบรรเทาอาการได้รวดเร็ว (1-2นาที) ถึงแม้ว่าวิธีนี้จะออกฤทธิ์ได้ไว แต่ฤทธิ์ของยาค่อนข้างสั้น และคุณแม่อาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดหัว สั่น และอาจเกิดอาการปากมดลูกบวม
Epidural block
วิธีนี้คุณหมอจะแทงเข็ม💉 เข้าไปที่บริเวณกระดูกสันหลัง ซึ่งภายในเข็มมีหลอดนำยาขนาดเล็กโดยหลอดนำยานี้จะค้างอยู่ด้านในและจะค่อยๆทำการปล่อยยาชาทำให้คุณแม่เจ็บปวดน้อยลง ซึ่งวิธีนี้ก็มีผลข้างเคียงคืออาจทำให้คุณแม่ปวดหัว😵 คลื่นไส้ คัน ทำให้คุณแม่ควบคุมอุ้งเชิงกรานได้น้อยลง และอาจทำให้ปากมดลูกบวม
แบบผสม
วิธีนี้คือคุณหมอจะส่งยาชาแบบ Spinal block เพื่อให้ยาออกฤทธิ์ทันที และหากยาชาหมดแล้วยังทำการคลอดทารกไม่สำเร็จ คุณหมอก็อาจพิจารนาบล็อกหลังด้วยวิธี Epidural นั่นเองค่ะ💉
เป็นอย่างไรกันบ้างค่ะกับวิธีบรรเทาความเจ็บปวดแบบต่างๆ ซึ่งก็สามารถเลือกใช้ได้ตามความต้องการ อาการขณะนั้น และการพิจารณาจากคุณหมอ👩⚕️ด้วยนะคะ เป็นกำลังใจให้คุณแม่ทุกคนค่ะ!
(ขอบคุณที่มาจาก : Amila Weerasinghe & Channa Gunasekara, University of Sri Jayewardenepura)