post-title

อาการแพ้ท้องบ่งบอกถึงเพศของทารกในครรภ์ได้หรือไม่?

หลายๆคนคงจะเคยได้ยินกันมาบ้างว่าคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ลูกสาวจะมีอาการแพ้ท้องรุนแรงกว่าคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ลูกชาย ซึ่งจากการศึกษาก็พบว่ามีรายงานคะแนนอาการการแพ้ท้องในลูกสาวสูงกว่าลูกชายจริง โดยจากคะแนน NVP 1-9 คะแนน อาการแพ้เมื่อตั้งครรภ์ลูกสาวอยู่ที่ 6.35 ในขณะที่ ลูกชายอยู่ที่ 6.04 ซึ่งมีนัยสำคัญทางสถิติ 


อาการแพ้ท้องลูกสาวมีอะไรบ้าง?

คุณแม่จะมีอาการแพ้ท้องที่รุนแรง

งานวิจัยพบว่าหญิงตั้งครรภ์ที่มีอาการแพ้รุนแรงจะได้ลูกสาวเนื่องจาก ฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงไปขณะที่ตั้งครรภ์ ซึ่งหากเป็นลูกสาว คุณแม่จะสร้างฮอร์โมนที่ต่างชนิดออกไป ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดอาการแพ้ท้อง🤰ที่หนักกว่าลูกชายนั่นเองค่ะ (งานวิจัยหนึ่งของ Dr. Michael Swiet จากสถาบันสูติศาสตร์และ นรีเวชวิทยา ในกรุงลอนดอน)

คุณแม่จะมีอารมณ์แปรปรวนง่าย

และต่อเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ก็จะส่งผลให้คุณแม่มีอารมณ์แปรปรวนได้ง่ายกว่าแต่ก่อน และเนื่องจากว่าคุณแม่ที่ท้องลูกสาวจะมีระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนที่สูง📈กว่าจึงทำให้ มีอารมณ์เหวี่ยงง่ายกว่าลูกชาย แต่ก็ยังไม่มีงานวิจัยมากพอที่จะสนันสนุนทฤษฎีนี้


อาการแพ้ท้องลูกสาวมีอะไรบ้าง?

คุณแม่จะรู้สึกอยากกินของหวาน

มีความเชื่อว่าคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ลูกสาวนั้นจะอยากของหวาน🍫มากขึ้น ในขณะที่หากเป็นลูกชายจะอยากเค็ม อย่างไรก็ตามความเชื่อนี้ก็ยังไม่มีงานวิจัยมาสนันสนุนมากเท่าไหร่ค่ะ 

คุณแม่จะมีลักษณะของสะดือคว่ำ

อีกสิ่งที่สามารถสังเกตได้คือ หากท้องลูกสาว สะดือ🤰ด้านบนที่ยื่นออกมาจะมีลักษณะกลม หรือ สะดืออาจไม่ปูดออกมา และคุณแม่จะมีผิวสดใส นั่นอาจแปลว่าคุณแม่กำลังตั้งครรภ์ลูกสาวก็ได้เช่นกันค่ะ 

ลูกดิ้นน้อยในครรภ์ดิ้นแรง

โดยทั่วไปแล้วทารกเพศหญิงจะดิ้นบ่อยกว่าเพศชาย เพราะทารกเพศหญิงมักมีความแข็งแรงกว่า ให้คุณแม่ลองนับว่าในเวลา 30 นาที🕛 ลูกน้อยดิ้นไปกี่ครั้ง หากมากกว่า 3 ครั้งนั่นอาจแปลว่าเป็นลูกผู้หญิงก็เป็นได้ค่ะ 


อาการแพ้ท้องลูกสาวมีอะไรบ้าง?

ความเครียดมีผลต่อเพศของทารกในครรภ์

งานวิจัยปี 2012 ได้ศึกษาหญิงตั้งครรภ์และพบว่า ฮอร์โมนคอร์ติซอล หรือ ฮอร์โมนความเครียดนั้นมีผลต่อการเพศการเกิดของทารกในครรภ์ ซึ่งคุณแม่ที่มีระดับคอร์ติซอลสูง📈 จะมีโอกาสได้ลูกสาวมากกว่าลูกชายนั่นเองค่ะ

คุณแม่จะมีผมและผิวที่มัน

อาจจะเคยมีคนได้ยินความเชื่อว่าคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ลูกสาวมักจะมีผิวหน้าและผมที่มัน👩‍🦰 ซึ่งมาจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน แต่ความเชื่อนี้ก็ยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่แน่ชัดนะคะ